เสริมจมูกครั้งแรก เพิ่มมิติให้เหมาะกับใบหน้า ควรรู้เรื่องอะไรบ้าง
การเสริมจมูก (Rhinoplasty) ถือเป็นศัลยกรรมอันดับแรกๆ ของผู้ที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าเลือกทำ เพราะการเสริมจมูกให้โด่งขึ้นจึงทำให้หน้าดูมีมิติขึ้นได้ชัดเจน นอกจากนี้ทรงจมูกที่เข้ากับหน้ายังจะช่วยเพิ่มเสน่ห์และความดึงดูดให้กับเจ้าของอีกด้วย สำหรับใครที่มีแพลนว่าจะทำจมูกในเร็วๆ แต่ไม่รู้จะเลือกจมูกทรงไหน เสริมจมูกด้วยเทคนิคอะไร หรือเสริมจมูกที่ไหนดี บทความนี้จะพามาเจาะลึกสิ่งที่ควรรู้ก่อนศัลยกรรมจมูก ซึ่งจะมีอะไรบ้างไปดูพร้อมๆกันเลย
เสริมจมูก คืออะไร ?
การเสริมจมูก (Rhinoplasty) คือ การผ่าตัดตกแต่งแก้ไขรูปทรงจมูกที่ไม่มีมิติให้โด่งขึ้น สวยงามขึ้น ด้วยการเสริมวัสดุซิลิโคนหรือเนื้อเยื่อจากร่างกาย เช่นกระดูกอ่อนหลังหู กระดูกอ่อนซี่โครง เนื้อเยื่อก้นกบ เข้าไป เพื่อตกแต่งสันจมูกที่แบน หรือจมูกสั้นให้มีความโด่งเข้ารูปรับกับใบหน้า ซึ่งการเสริมจมูกนอกจากทำเพื่อความสวยงามแล้ว ยังสามารถแก้ไขจมูกที่ผิดรูปร่าง หรือเสียหายจากอุบัติเหตุ ให้กลับมาเป็นปกติได้อีกด้วย
ทรงจมูกยอดนิยมของคนเอเชียเป็นแบบไหนดี
ทรงจมูกที่สวยต้องเป็นจมูกที่มีความโด่ง โค้ง และมีปลายจมูกที่รับกับใบหน้าทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ช่วยเพิ่มความมีมิติให้กับใบหน้า ซึ่งทรงจมูกยอดนิยมของคนเอเชียมีดังนี้
1. จมูกทรงบาร์บี้ไลน์
จมูกทรงบาร์บี้ไลน์ เป็นทรงที่บริเวณสันจมูกจะมีความเรียวยาวเรียบเนียน โดยสันจมูกสโลปลงมาถึงปลายรับกับหน้าผากเป็นรูปตัว S ปลายจมูกมีความงุ้มเล็กน้อย จึงทำให้ใบหน้าดูมีมิติ ใบหน้าดูหวาน น่ารัก และดูเด็กลง
2. จมูกทรงทริปเปิ้ลบาร์บี้
จมูกทรงทริปเปิ้ลบาร์บี้ จมูกทรงนี้จะไม่เน้นให้บริเวณสันจมูกโด่งมาก แต่จะให้มีความสโลปปลายพุ่ง โดยสันจมูกถึงปลายจมูกมีความสมดุลเป็นธรรมชาติ จมูกไม่แข็ง ไม่โด่งและไม่ใหญ่จนเกินไป ช่วยปรับให้ใบหน้า มีความหวาน ไม่ว่าจะหันถ่ายรูปมุมไหนก็รอด
3. จมูกทรงธรรมชาติ
จมูกทรงธรรมชาติ เป็นจมูกที่มีความโด่งไม่มาก เป็นทรงจมูกที่รับกับฐานจมูกเดิม แต่เสริมให้ปลายจมูกดูยาวขึ้น ปลายจมูกมีหยดน้ำเล็กน้อย ช่วยให้ใบหน้ามีมิติ และแก้ปัญหาจมูกทรงชมพู่ นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่มีเนื้อจมูกน้อยที่ต้องการเสริมจมูกอีกด้วย
4. จมูกทรงเกาหลี
จมูกทรงเกาหลี เป็นทรงจมูกที่บริเวณสันจมูกเรียว สันจมูกไม่โด่งมาก แต่ปลายจมูกมีความมนงุ้มและเชิดเพียงเล็กช่วยให้ใบหน้าละมุนสวยหวานดูเป็นธรรมชาติ ดูเด็ก ดูหวานขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีสันจมูกไม่กว้างมาก
5. จมูกทรงสายฝอ
จมูกทรงสายฝอ เป็นทรงจมูกมีเอกลักษณ์จากความโด่งคม โดยเริ่มตั้งแต่หัวตาสันจมูกถึงปลาย สันจมูกจะเป็นทรงไม่มีความสโลป ปีกจมูกมีความเรียวเล็ก ปลายจมูกเชิ่ดขึ้นเล็กน้อย ทำให้สามารถเห็นทรงจมูกเป็นสันอย่างชัดเจนทั้งหน้าตรงและหันข้าง
6. จมูกทรงสโลปปลายพุ่ง
จมูกทรงสโลปปลายพุ่ง เป็นทรงจมูกที่มีความสโลปตั้งแต่บริเวณหัวตาลงมาที่สันจมูก และเน้นปลายจมูกเรียวพุ่ง โดยปลายจมูกจะมีความพุ่งเป็นพิเศษ ทำให้จมูกดูเรียวยาวมีความเป็นธรรมชาติ จัดได้ว่าเป็นทรงจมูกยอดฮิตเลยก็ว่าได้
7. จมูกทรงหยดน้ำ
จมูกทรงหยดน้ำ เป็นทรงจมูกที่มีลักษณะเรียว สันจมูกมีความโค้งเล็กน้อย ไม่ตรงจนเกินไป ปลายจมูกเล็กมนกลมคล้ายกับหยดน้ำ มีมุมระหว่างริมฝีปากกับจมูก ประมาณ 90-100 องศา ซึ่งจะช่วยปรับให้ใบหน้ามีความหวานและดูละมุน เหมาะกับคนที่มีพื้นฐานจมูกยาวพอเหมาะและปลายจมูกมีเนื้อหนาพอสมควร
8. จมูกทรงตั๊กแตน
จมูกทรงตั๊กแตน เป็นทรงที่เหมาะสมกับทุกโครงหน้า โดยสันจมูกมีความโค้งโด่งและไล่ระดับความโค้งลงไปถึงปลายจมูก บริเวณปลายจมูกเรียวเล็ก มีความเชิดขึ้นนิดๆ และปลายจมูกมีลักษณะคล้ายหยดน้ำ เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการแก้จมูกบ่อยๆ เพราะจมูกทรงตั๊กแตนเป็นทรงจมูกที่ได้รับความนิยมทุกยุคทุกสมัยไม่มีเอาท์
9. จมูกทรงปลายเชิด
จมูกทรงปลายเชิด เป็นทรงจมูกที่สันจมูกมีลักษณะเรียบเนียน มีแนวโค้งเป็นธรรมชาติตั้งแต่สันจมูกลงมาถึงปลายจมูก โดยทำมุมระหว่างหน้าผาก กับจมูกประมาณ 120-140 องศา และเน้นช่วงปลายจมูกให้มีความเชิดขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูเฉี่ยวมากขึ้น
10. จมูกทรงตุรกี
จมูกทรงตุรกี เป็นทรงจมูกที่สันจมูกโด่งเรียบเนียน สันมีความโค้งไล่ระดับ ปลายเชิดขึ้นเล็กน้อย บริเวณปลายจมูกยาวเรียวโค้งมนไม่แหลม และไม่ดูเฉี่ยวมากจนเกินไป ปีกจมูกมีขนาดเล็กเรียวคล้ายจมูกสายฝอ จึงทำให้ได้ลุคสายฝอที่มีความน่ารักแบบบาร์บี้
เลือกทรงจมูกอย่างไรให้เข้ากับใบหน้า
การเลือกทรงจมูกให้เข้ากับใบหน้า ควรเลือกทรงจมูกรับกับหน้าผาก โครงหน้า และส่วนอื่นๆ เช่น
- คนที่มีใบหน้าเรียว ควรเลือกจมูกทรงสโลปปลายพุ่ง จมูกทรงหยดน้ำ จมูกทรงปลายเชิด จมูกทรงปลายเชิด จมูกทรงเกาหลี จมูกทรงธรรมชาติ
- คนที่รูปหน้ากลม ควรเลือกจมูกทรงสันสโลปปลายพุ่งจมูกทรงหยดน้ำ
- คนรูปหน้าสี่เหลี่ยม ควรเลือกจมูกทรงปลายเชิด
- จมูกทรงสายฝอ จมูกทรงตุรกี และจมูกทรงตั๊กแตน เป็นต้น
ใครบ้างที่เหมาะกับการเสริมจมูก
การเสริมจมูก ถือเป็นศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอันดับต้นๆ ของรายการศัลยกรรมทั้งหมด เพราะสามารถทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของใบหน้าได้อย่างชัดเจน ซึ่งคนที่เหมาะกับการศัลยกรรมเสริมจมูกมีดังนี้
- ผู้ที่ใบหน้าขาดมิติ อยากเพิ่มความมีมิติบนใบหน้า ปรับลุคใบหน้าให้ดูหวานขึ้น
- ผู้ที่มีอายุ 18-20 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นวัยที่ใบหน้าและจมูกมีขนาดหรือรูปร่างที่คงที่แล้ว
- คนที่ต้องการแก้ปัญหาทรงจมูกไม่ได้สัดส่วน เช่นจมูกบาน ฐานจมูกกว้าง จมูกแบน ดั้งแหมบ จมูกสั้น จมูกหมู จมูกไม่มีหยดน้ำ
- คนที่มีปัญหาจมูกฮัมพ์สูงหรือปลายจมูกงุ้ม ทำให้ใบหน้าดูแข็ง หน้าดุ ขาดความละมุน
- คนที่จมูกมีความผิดรูปจากอุบัติเหตุ หรือผู้ที่ทรงจมูกมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ต้องการแก้ไขทรงจมูกให้กลับมาปกติ
การเสริมจมูกช่วยได้ทั้งในเรื่องของความสวยงาม เสริมจมูกเพื่อรักษาโรคทางการหายใจ และเสริมจมูกเพื่อแก้ไขโครงสร้างที่ผิดปกติ แต่จะต้องเลือกทำด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง และเลือกทรงจมูกให้เข้ากับใบหน้า โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแบบเฉพาะทางเท่านั้น
วัสดุเสริมจมูกมีแบบไหนบ้าง
ในปัจจุบันวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีหลายแบบ ซึ่งการเลือกวัสดุศัลยกรรมจมูกเป็นสิ่งสำคัญต่อรูปทรงของจมูกมาก โดยวัสดุที่นิยมใช้ในการเสริมจมูกมากที่สุดมี 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ ซิลิโคนเสริมจมูก และกระดูกอ่อน ซึ่งมีความแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ซิลิโคนเสริมจมูก
ซิลิโคนเสริมจมูก เป็นวัสดุสารพลาสติกสังเคราะห์ที่ถูกผลิตมาใช้ทางการแพทย์โดยเฉพาะ ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง สามารถอยู่ในร่างกายได้โดยไม่เป็นอันตรายทำให้เกิดอันตราย จึงถูกนำมาใช้ในการเสริมจมูกมากที่สุด ซึ่งซิลิโคนเสริมจมูกจะถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่
ซิลิโคนแบบสำเร็จรูป เป็นซิลิโคนที่มีการขึ้นรูปทรงและมีขนาดมาตรฐานอยู่แล้ว เพื่อความสะดวกในการใช้งาน เช่น ทรงตัวแอล ทรงตัวที แต่มีข้อจำกัดในการปรับทรง จึงทำให้ไม่เหมาะกับบางเคส
ซิลิโคนแบบแท่ง หรือแบบเหลาเอง จะมีลักษณะเป็นแท่งหรือบล็อกสี่เหลี่ยมแผ่นใหญ่ ศัลยแพทย์จะต้องเป็นคนปั้นและเหลาให้ได้ทรงที่เหมาะสมกับรูปจมูกของคนไข้ ซึ่งจะทำให้คนไข้ได้ทรงจมูกที่เป็นเอกลักษณ์ แต่จะต้องอาศัยความชำนาญและความแม่นยำของแพทย์เป็นพิเศษ
2 กระดูกอ่อน
กระดูกอ่อนหรือเนื้อเยื่อในส่วนต่างๆของร่างกาย ก็สามารถนำมาเสริมจมูก หรือใช้รองปลายจมูกที่เสริมด้วยซิลิโคนได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้ได้รูปทรงจมูกที่โด่งเป็นธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง และลดการเสียดสีของซิลิโคนกับเนื้อปลายจมูก ป้องกันจมูกทะลุได้ ซึ่งกระดูกอ่อนที่นิยมนำมาใช้ในการเสริมจมูกมีดังนี้
- กระดูกอ่อนหลังใบหู เป็นการใช้กระดูกบริเวณส่วนกึ่งกลางใบหู ที่จะมีลักษณะโค้งงอเล็กน้อยและหนาไม่มาก มาใช้ในการปรับแต่งบริเวณปลายจมูก ทำให้ปลายจมูกดูหนาขึ้น ยาวขึ้น เหมาะกับคนที่ปลายจมูกสั้น กลัวทะลุในอนาคต
- กระดูกอ่อนซี่โครง กระดูกอ่อนซี่โครง เป็นการนำเอากระดูกอ่อนซี่โครงมาตกแต่ง เพื่อใช้เสริมแทนที่โครงสร้างจมูก โดยศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลใต้ราวนม ประมาณ 3-4 เซนติเมตร เพื่อผ่าตัดเลาะเอากระดูกอ่อนบริเวณซี่โครงออกมาใช้ เหมาะกับเคสที่มีกระดูกอ่อนหลังหูไม่เพียงพอ หรือเคยที่จมูกเคยอักเสบ ติดเชื้อมาก่อน
- เนื้อเยื่อก้นกบ การใช้เนื้อเยื่อก้นกบมารองปลายจมูก จะเพิ่มความละมุน เพิ่มความยาว ปลายพุ่ง ของปลายจมูกได้มากกว่าการใช้กระดูกอ่อนหลังหู เนื่องจากตัวเนื้อเยื่อมีความหนา และมีความยืดหยุ่นที่มากกว่า นอกจากนี้ตัวเนื้อเยื่อยังให้ความเรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเนื้อจมูกน้อย ปลายจมูกบาง จมูกเคยทะลุ หรือติดเชื้อมาก่อน
เทคนิคการเสริมจมูก มีกี่แบบ
ในปัจจุบันเทคนิคเสริมจมูกหลักๆ จะถูกแบ่งออก 3 เทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคจะมีข้อดี ข้อเสีย ที่แตกต่างกันออกไป
การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty)
เสริมจมูกแบบเปิด คือการเสริมจมูกที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยศัลยแพทย์จะทำการกรีดเปิดผิวหนังบริเวณปลายจมูก และแยกผิวหนังออกจากโครงสร้างของจมูก ซึ่งเทคนิคนี้จะทำให้เห็นโครงสร้างภายในจมูกทั้งหมด จึงทำให้สามารถปรับแก้ไขทุกส่วนของจมูกได้ตามต้องการ เพื่อให้ได้รูปทรงที่สวยงาม มีมิติและสัดส่วนอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังเป็นเทคนิคที่ลดความเสี่ยงปลายจมูกทะลุได้อีกด้วย
เหมาะกับใคร
เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาโครงจสร้างของจมูก เช่น สันจมูกโค้งงอ ปลายจมูกหนา ปลายจมูกงุ้ม จมูกสั้น เอียง หรือจมูกทะลุจากการทำศัลยกรรม
ข้อดี
- ศัลยแพทย์เห็นโครงสร้างภายในจมูกทั้งหมด จึงสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
- เป็นเทคนิคที่สามารถปรับแต่งรูปทรงจมูกได้กว่าการเสริมจมูกด้วยเทคนิคอื่นๆ
- ได้ทรงจมูกที่ดูเป็นธรรมชาติ และไม่ต้องกังวลในเรื่องของจมูกทะลุในอนาคต
- ช่วยลดโอกาสการเบี้ยว และเอียงของซิลิโคน
ข้อจำกัด
- เป็นเทคนิคที่มีซับซ้อน ต้องใช้เวลาในการผ่าตัดนาน และต้องทำโดยศัลยแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญ
- มีแผลด้านนอกบริเวณโคนจมูก ทำให้ต้องพักฟื้นนานขึ้น
- ราคาสูงกว่าเสริมจมูกด้วยเทคนิคอื่นๆ เพราะเป็นการปรับโครงสร้างจมูกภายใน
การเสริมจมูกแบบปิด (Closed Endonasal Rhinoplasty)
เสริมจมูกแบบปิด คือการเสริมจมูกที่นิยมมานานแล้ว ด้วยวิธีกรีดผ่านด้านในของจมูก จากนั้นเลาะเยื่อบุด้านในโพรงจมูกให้หลุดออกจากกระดูกและกระดูกอ่อน ก่อนทำการเสริมด้วยซิลิโคนบริเวณสันจมูกไปจนถึงปลายจมูกร่วมกับการใช้กระดูกอ่อน เพื่อให้จมูกดูยาว ดูมีมิติมากยิ่งขึ้น แล้วจึงเย็บปิด ซึ่งการผ่าตัดแบบ Closed รอยแผลจะมีขนาดเล็กมองภายนอกจะไม่เห็นบาดแผล
เหมาะกับใคร
เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นฐานจมูกดีอยู่แล้ว และมีปัญหาเรื่องทรงจมูกไม่มาก เช่น คนที่อยากเพิ่มความโด่งของจมูกเล็กน้อย และคนที่เสริมจมูกครั้งแรก
ข้อดี
- แผลเล็ก ไม่มีรอยแผลภายนอกให้เห็น ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลเป็น
- เป็นเทคนิคที่ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาผ่าตัดไม่นาน
- อาการบวมช้ำน้อยกว่าการผ่าตัดแบบ Open เพราะไม่ได้ปรับโครงสร้าง จึงใช้ระยะเวลาพักฟื้นสั้นกว่า
- ราคาถูกกว่าเสริมจมูกแบบเปิด
ข้อจำกัด
- มีข้อจำกัดในการแก้ไขโครงสร้างจมูก เนื่องจากไม่เห็นโครงสร้างภายในทั้งหมด
- ไม่สามารถเสริมซิลิโคน ไม่สามารถเพิ่มความยาวของปลายจมูกได้มาก เพราะอาจทำให้เกิดการทะลุได้
- ไม่เหมาะกับคนที่แก้จมูกมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาอักเสบ ติดเชื้อ ปลายจมูกบาง
เสริมจมูกแบบ semi open
การเสริมจมูกแบบเซมิโอเพ่น คือเทคนิคการผ่าตัดเสริมจมูกที่อยู่ตรงกลางระหว่างการผ่าตัดแบบ Open และ Closed โดยจะทำการกรีดเปิดแผลทั้ง 2 ด้านในรูจมูก เพื่อให้เข้าถึงโครงสร้างจมูกภายในได้ดี จึงสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในจมูกด้านในได้มากขึ้น และศัลยแพทย์สามารถจัดวางตำแหน่งของซิลิโคนได้แม่นยำ ช่วยลดความเสี่ยงเบี้ยว เอียง หลังผ่าตัดได้ดีกว่าการผ่าตัดแบบ Closed
เหมาะกับใคร
เหมาะกับคนที่มีพื้นฐานจมูกเดิมค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่ต้องการเพิ่มความสูงของสันจมูก และความโด่งของปลายจมูกให้ดูพุ่งขึ้น หรือคนที่เคยเกิดปัญหาซิลิโคนเอียง และเสี่ยงต่อการทะลุ
ข้อดี
- สามารถปรับโครงสร้างของจมูกได้มากกว่า การเสริมจมูกแบบ Closed
- ช่วยให้จัดวางตำแหน่งของซิลิโคนได้แม่นยำ ลดโอกาสจมูกเบี้ยว เอียง หลังการเสริมจมูก
- สามารถเย็บอินเตอร์โดม เพื่อเพิ่มความโด่งพุ่งของปลายจมูกได้
- ไม่มีรอยแผลภายนอก ไม่ต้องกังวลกับรอยแผลเป็น
- ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน
ข้อจำกัด
- ไม่สามารถปรับแต่งโครงสร้างจมูกได้อย่างเต็มที่ และไม่สามารถปรับรูปทรงของรูจมูกได้เหมือนการเสริมจมูกแบบ Open
- ไม่สามารถแก้ไขจมูกที่มีฮัมพ์สูงมากๆ ได้
เทคนิคการเสริมของหมอศรัณย์ ที่โรงพยาบาล Wansiri
ที่ Wansiri เป็นโรงพยาบาลด้านศัลยกรรมเฉพาะทาง โดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสริมจมูกอย่างคุณหมอศรัณย์ เป็นผู้ดูแลและผ่าตัดคนไข้แบบ 1:1 เพื่อให้คุณไข้ได้ผลลัพธ์การผ่าตัดที่ดี คุณหมอจะแนะนำเทคนิคการผ่าตัดที่เหมาะสมที่สุดให้กับคนไข้ ซึ่งเทคนิคที่คุณหมอเลือกใช้ในการผ่าตัดมีดังนี้
- เทคนิคการเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) ซึ่งจะสามารถมองเห็นโครงสร้างภายในของจมูกทั้งหมด เพื่อการปรับโครงสร้างและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
- เทคนิคการเสริมจมูกแบบปิด (Closed Endonasal Rhinoplasty) ซึ่งคุณหมอศรัณย์จะทำการออกแบบทรงจมูก เหลาซิลิโคน และเลือกใช้กระดูกอ่อน หรือเนื้อเยื่อในส่วนต่างๆ ของร่างกายให้เหมาะสม เพื่อให้คนไข้ได้ทรงจมูกที่สวยเป็นธรรมชาติมากที่สุด
- เทคนิคเสริมจมูกแบบ Semi Open สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องโครงสร้างจมูกไม่มากนัก แต่ต้องการปรับเปลี่ยนทรงได้มากกว่าการเสริมด้วยเทคนิค Closed ซึ่งเทคนิค Semi Open นี้จะช่วยทำให้ปลายจมูกมีความโด่งพุ่ง มากยิ่งขึ้น
เสริมจมูก โรงพยาบาลที่ไหนดี
โรงพยาบาล Wansiri เป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งแบบครบวงจร และเป็นแหล่งรวมของทีมแพทย์ชั้นนำทางด้านศัลยกรรมที่มีมาตรฐานความปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ที่ Website:checkmd.tmc.or.th โทร. 0 2193 7000 หรือตรวจสอบกับสำนักสถานพยาบาลการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โทร. 02-1937000
แนะนำทีมแพทย์เสริมจมูกโรงพยาบาลวรรณสิริ
การเตรียมตัวก่อนทำจมูกครั้งแรก
- หากมีโรคประจำตัว มีอาการแพ้ยา หรือมีอาการเลือดออกง่าย ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน
- หากมีอาการหวัด หรือแผลติดเชื้อที่จมูก ควรรักษาให้หายก่อนทำการเสริมจมูก
- สระผมให้สะอาด เพราะหลัง เสริมจมูกอาจทำให้คนไข้สระผมลำบาก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูก เพราะอาจทำให้หลอดเลือดหดตัว ทำให้แผลหายช้า
- งดยาและวิตามินที่มีผลต่อการเเข็งตัวของเลือด เช่น ยาแก้อักเสบ โดยเฉพาะในกลุ่ม N-SAID เช่น เช่น แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), นาพอคเซ็น (Naproxen) ,วิตามินE, วิตามินC อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดกินอาหารทะเลหรือของหมักดองทุกชนิด เพราะอาจทำให้แผลอักเสบและฟื้นตัวได้ช้า
- งดการแต่งหน้าและใส่เครื่องประดับในวันที่เสริมจมูก
- พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนเสริมจมูก
- งดดื่มชา หรือกาแฟ 1 วัน ก่อนวันผ่าตัด
- ในวันผ่าตัดควรใส่เสื้อที่มีกระดุม หรือซิปด้านหน้าเพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยน
เสริมจมูกมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ใช้เวลานานไหม?
- ปรึกษาแพทย์ แจ้งปัญหา และรูปแบบทรงจมูกที่ต้องการ เพื่อทำการออกแบบร่วมกัน
- คนไข้ตรวจร่วงกาย เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมสำหรับการผ่าตัด
- ล้างทำความสะอาดผิวหน้า และเปลี่ยนชุดให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด
- คนไข้กินยานอนหลับแล้วนอนลงบนเตียง แพทย์จะเริ่มทำการฉีดยาชา (สำหรับการเสริมจมูกแบบ Open จะใช้ยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์)
- เริ่มเพื่อทำการผ่าตัด โดยแพทย์จะใช้เทคนิคที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่การเหลาซิลิโคน การปรับแต่งโทครสร้าง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับเทคนิคและความยากง่ายของแต่ละเคส)
- เย็บปิดแผลผ่าตัด และเข้าเฝือกที่จมูกเพื่อป้องกันการกระแทรก ก่อนนัดมาติดตามผลและตัดไหม หลังการผ่าตัด 5-7 วัน
ข้อควรปฏิบัติหลังเสริมจมูก ที่แพทย์แนะนำ
- หลังการเสริมจมูกให้ประคบเย็นบริเวณรอบๆ ต่อเนื่อง 3-5 วัน เพื่อให้เลือดหยุดไหล และช่วยลดอาการบวม
- 1-3 วันแรก นอนหงายให้ศีรษะอยู่สูงกว่าลำตัว เพื่อป้องกันอาการเลือดคั่งในจมูกจาก นั้นนอนหงายโดยใช้หมอนล็อกคอต่อไปอีก 1 เดือน
- เช็ดแผลให้สะอาด และทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- งดอาหารเผ็ดร้อน อาหารเค็ม อาหารรสจัดอาหารหมักดอง อาหารทะเล หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง รวมถึงงดบุหรี่และแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 เดือน
- ไม่สัมผัสจมูกบ่อยๆ โดยเฉพาะการจับ การบิด การแคะจมูก เพราะจะทำให้ทรงจมูกเบี้ยว เอียงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
- ระมัดระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ ควรใช้แผ่นสำลีชุบน้ำเกลือ แทนการล้างหน้า เพราะน้ำอาจทำให้แผลอักเสบ ติดเชื้อได้ (หากแผลโดนน้ำควรรีบซับให้แห้ง)
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ เพราะอาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือนที่แผลได้
- ระมัดระวังไม่ให้เป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล เพราะการมีน้ำมูกอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
เสริมจมูก ราคาเท่าไหร่?
ราคาการเสริมจมูกมีหลายราคา ขึ้นอยู่กับปัญหาจมูกของคนไข้ เทคนิคการผ่าตัด และวัสดุที่ใช้ ทำให้ราคาเสริมจมูกของคนไข้แต่ละคนไม่เท่ากัน
รีวิวเสริมจมูก เทคนิคต่างๆ ที่โรงพยาบาลวรรณสิริ
Q&A เสริมจมูก
Q: เสริมจมูก อันตรายไหม
A: การเสริมจมูกด้วยเทคนิคการผ่าตัดที่ถูกต้อง โดยใช้วัสดุทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานความปลอดภัย กับศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นการทำศัลยกรรมเสริมความงามที่ไม่เป็นอันตราย
Q: เสริมจมูก เจ็บไหม
A: ก่อนการผ่าตัดเสริมจมูก จะมีการฉีดยาชาร่วมกับยานอนหลับหรือวางยาสลบ (ในกรณีที่ผ่าตัดด้วยเทคนิค Open) คนไข้จึงไม่รู้สึกเจ็บขณะทำ เมื่อยาชาหมดฤทธิ์คนไข้อาจจะรู้สึกระบมและฟกช้ำ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งอาการเหล่านั้นจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับใน แนะนำให้พักฟื้น 3-7 วัน
Q: เสริมจมูกอยู่ได้กี่ปี
A: การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน ที่ได้มาตรฐาน มีการเลือกชนิดซิลิโคนที่เหมาะสม หรือกระดูอ่อนต่างๆ จะสามารถอยู่ได้ตลอดอายุการใช้งาน แต่ส่วนใหญ่ที่มีการแก้จมูกมักเกิดจากปัญหาจมูกเบี้ยว เอียง จมูกทะลุ หรืออยากเปลี่ยนทรงให้เหมาะสมกับรูปหน้ามากขึ้น
Q: เคยฉีดฟิลเลอร์มาแล้วเสริมจมูกได้หรือไม่
A: กรณีที่เคยฉีดฟิลเลอร์ หรือ Hyaluronic acid แท้ ศัลยแพทย์จะทำการฉีดสลายฟิลเลอร์ หรือขูดฟิลเลอร์ที่ยังเหลืออยู่ออกแล้วเสริมจมูกได้เลย
Q: เสริมจมูก ในคนที่เนื้อน้อยทำได้ไหม
A: การเสริมจมูกสำหรับคนเนื้อน้อยสามารถทำได้ แต่อาจจะต้องใช้วัสดุรองปลาย หรือเสริมจมูกด้วยเทคนิคOpen เพื่อให้สามารถแก้ไขโครงสร้างจมูก เช่นการยืดผนังกั้นจมูก เพื่อลดความเสี่ยงจมูกทะเลในอนาคต
Q: การเสริมจมูกในผู้ชายและผู้หญิง แตกต่างกันไหม?
A: การเสริมจมูกผู้ชายและผู้หญิง มีความแตกต่างกันเพราะโครงสร้างจมูก เช่นกระดูกฐานจมูกผู้ชายส่วนใหญ่จะมีความกว้างกว่าผู้หญิง ผู้ชายจะมีเนื้อจมูกที่หนากว่าเนื้อจมูกผู้หญิง แต่ความยืดหยุ่นน้อยกว่า
Q: เสริมจมูกไปแล้วไม่ชอบสามารถแก้ไขได้ไหม
A: หากเสริมจมูกไปแล้วไม่ชอบ สามารถแก้ไขได้แต่อาจจะต้องรออย่างน้อยประมาณ 3 เดือน เพื่อให้เนื้อเยื่อ แผลผ่าตัด รวมถึงเส้นเลือดบริเวณจมูกมีการสมานตัวและหายดีก่อน
สรุป
การเสริมจมูกเป็นทำศัลยกรรมที่มีโรงพยาบาลและคลินิกรับทำเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องเลือกคลินิกอย่างพิถีพิถัน หมอศรัณย์ ที่โรงพยาบาล Wansiri เป็นศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีประสบการณ์ในการเสริมจมูกมากกว่า 30 ปี ทำให้เข้าใจรายละเอียดของโครงสร้างจมูกเป็นอย่างดี มีการออกแบบอย่างละเอียดเพื่อให้คนไข้ได้ทรงจมูกที่เข้ากับรูปหน้าของตัวเองมากที่สุด และใส่ใจความปลอดภัยให้กับคนไข้ทุกเคส