การดึงหน้า (Face Lift) คืออะไร เหมาะกับใคร? มีกี่วิธี? ราคาเท่าไหร่?
เมื่ออายุมากขึ้น ผิวพรรณของเราก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทั้งริ้วรอย ความหย่อนคล้อย ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน การดึงหน้าจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่ง การดึงหน้า หรือ Face Lift คือการผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณใบหน้าและลำคอ เพื่อลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้ากลับมาดูอ่อนเยาว์และสดใสอีกครั้ง แล้วการดึงหน้าคืออะไร? เหมาะกับใคร? มีกี่วิธี? ราคาเท่าไหร่? มาติดตามได้ในบทความนี้
ดึงหน้า (Face Lift) คืออะไร
การผ่าตัดดึงหน้า (Face Lift surgery) คือการทำศัลยกรรมเพื่อยกกระชับกล้ามเนื้อและไขมันใต้ผิวหนังให้กลับไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม และตัดผิวหนังส่วนเกินเพื่อให้ใบหน้ากระชับและเรียบเนียนขึ้น การศัลยกรรมดึงหน้าจะช่วยคืนความอ่อนเยาว์ ดูเป็นธรรมชาติ โดยจะช่วยลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อยของใบหน้า ด้วยเทคนิคการผ่าตัดในปัจจุบันที่ทันสมัย ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ฟื้นตัวไวและอยู่ได้นาน
ดึงหน้า ทำส่วนไหนได้บ้าง

การศัลยกรรมดึงหน้าเป็นวิธีการที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยบนใบหน้า โดยสามารถปรับปรุงลักษณะของผิวในส่วนต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ดึงหน้าผาก (Forehead Lift) ช่วยลดรอยย่นบนหน้าผาก ลดปัญหาคิ้วต่ำ หรือหางตาตก ที่อาจบดบังการมองเห็น ทำให้หน้าผากดูเรียบเนียนขึ้น และดวงตาดูสดใสขึ้น
- ดึงใบหน้าส่วนบน (Upper Facelift) ช่วยยกกระชับโหนกแก้มที่หย่อนคล้อย ลดรอยตีนกา และริ้วรอยต่าง ๆ บริเวณขมับและรอบดวงตา ทำให้ผิวบริเวณนี้ดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น
- ดึงใบหน้าส่วนล่าง (Lower Facelift) ช่วยลดร่องแก้มที่ลึก ร่องน้ำหมาก และปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และกระชับได้สัดส่วนมากขึ้น
- ดึงคอ (Neck Lift) ช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณลำคอ ลดเหนียง ทำให้ลำคอดูกระชับและเข้ารูปกับใบหน้ามากขึ้น
ดึงหน้า เหมาะกับใครบ้าง

การผ่าตัดดึงหน้า (Face Lift) เป็นหัตถการที่ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ผู้ที่เหมาะกับการผ่าตัดดึงหน้ามีดังนี้
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อยตามวัย หรือจากการลดน้ำหนัก ผิวหนังบริเวณแก้ม คาง และลำคอหย่อนยาน มีริ้วรอยร่องลึก
- ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ยกกระชับผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ลง
- ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัดและการฟื้นตัว เช่น โรคเลือด โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ผู้ที่มีสุขภาพจิตดี ผู้ที่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการผ่าตัด มีความคาดหวังที่สมเหตุสมผล และไม่มีปัญหาทางจิตเวช
- ผู้ที่ไม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการผ่าตัด
- ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่อาจส่งผลต่อการหายของแผล และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
- ผู้ที่เข้าใจถึงความเสี่ยงและผลลัพธ์ ผู้ที่เข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด และมีความคาดหวังที่สมเหตุสมผลต่อผลลัพธ์
ดึงหน้า ไม่เหมาะกับใคร

การศัลยกรรมดึงหน้า ถึงแม้จะเป็นวิธีที่ช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์และยกกระชับขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะสมจะทำศัลยกรรมนี้ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ไม่เหมาะกับการดึงหน้า ได้แก่
- ผู้ที่มีอายุน้อยเกินไป การดึงหน้ามักเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยตามวัย สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยกว่านั้น อาจมีวิธีอื่นที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าในการผ่าตัดและอาจไม่เหมาะกับการดึงหน้า
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงบ่อย การมีน้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ อาจทำให้ผลลัพธ์ของการดึงหน้าไม่คงที่และผิวกลับมาหย่อนคล้อยได้อีก
ความหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร
ความหย่อนคล้อยของใบหน้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่เพิ่มขึ้น พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือการดูแลผิวพรรณที่ไม่เหมาะสม การทำความเข้าใจถึงลักษณะของความหย่อนคล้อยในแต่ละบริเวณบนใบหน้า จะช่วยให้คุณสามารถประเมินสภาพผิวของตนเองก่อนตัดสินใจเข้ารับการศัลยกรรมดึงหน้าได้อย่างถูกต้อง โดยทั่วไปแล้ว ความหย่อนคล้อยสามารถสังเกตได้จากบริเวณต่าง ๆ ดังนี้
- บริเวณหน้าผากและคิ้วจะเริ่มมีริ้วรอยและหย่อนคล้อยลงมา
- บริเวณรอบดวงตาและหางตาก็หย่อนคล้อยจนอาจบดบังการมองเห็น
- บริเวณแก้มจะหย่อนคล้อยลงมาจนเกิดเป็นร่องแก้มที่ลึกขึ้น ผิวหน้าไม่เต่งตึงเหมือนเดิม
- บริเวณลำคอเริ่มมีเหนียงและผิวที่หย่อนคล้อยลงมา ทำให้กรอบหน้าไม่ชัดเจน
- บริเวณมุมปากมีริ้วรอย หรือมุมปากที่คว่ำลง ทำให้ใบหน้าดูเศร้าหมอง
การสังเกตความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงปัญหาผิวที่เกิดขึ้น และสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคดึงหน้า (Face Lift) มีกี่แบบ

การดึงหน้ามีเทคนิคที่ได้รับความนิยม 2 แบบ คือ
- การดึงหน้าเอนโดไทน์ (Endotine) เทคนิคนี้ใช้ตัวยึดที่เรียกว่าเอนโดไทน์ในการดึงผิวหน้าให้ตึงกระชับ โดยเอนโดไทน์มี 4 อย่าง ได้แก่
- Endotine Forehead ใช้สำหรับดึงหน้าผาก
- Endotine TransBleph ใช้สำหรับดึงบริเวณใต้ตา
- Endotine Midface ใช้สำหรับดึงแก้ม
- Endotine Ribbon ใช้สำหรับดึงบริเวณคอ
- การดึงหน้าส่องกล้อง (Endoscopic lift) เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดโดยใช้กล้องขนาดเล็กส่องเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อดึงชั้นผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมาตึงกระชับ วิธีนี้มีแผลเล็ก พักฟื้นน้อย และสามารถใช้ร่วมกับเอนโดไทน์ได้
ทั้งนี้ การเลือกเทคนิคการดึงหน้าจะขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับคุณ
ซ่อนแผลผ่าตัดดึงหน้าตรงไหน
ตำแหน่งของแผลผ่าตัดในการศัลยกรรมดึงหน้าจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการผ่าตัด โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะพยายามซ่อนรอยแผลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมี 3 ตำแหน่ง ได้แก่
- ดึงหน้าส่วนบน แผลผ่าตัดจะซ่อนอยู่บริเวณไรผมด้านหน้าผาก ทำให้มองเห็นได้ยาก และสามารถใช้ผมช่วยบดบังได้
- ดึงหน้าส่วนกลาง แผลผ่าตัดจะซ่อนอยู่บริเวณหน้าหู โดยจะโค้งไปตามแนวกึ่งกลางของหู ทำให้กลมกลืนกับใบหู
- ดึงหน้าส่วนล่าง แผลผ่าตัดจะซ่อนอยู่บริเวณหน้าหูไปจนถึงหลังใบหู ทำให้สังเกตเห็นได้ยาก
ผู้หญิง VS. ผู้ชาย ดึงหน้ามีความต่างกันหรือไม่
การดึงหน้าในผู้หญิงและผู้ชายมีความแตกต่างกัน เนื่องจากโครงสร้างใบหน้าและลักษณะทางกายวิภาคของทั้งสองเพศมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
- โครงสร้างใบหน้า ผู้ชายมักมีโครงสร้างใบหน้าที่แข็งแรงและมีมิติมากกว่าผู้หญิง มีโหนกแก้มที่เด่นชัด กรามที่แข็งแรง และคางที่กว้าง ในขณะที่ผู้หญิงมักมีใบหน้าที่โค้งมนและอ่อนโยนกว่า
- ลักษณะผิว ผิวของผู้ชายมักจะหนากว่าและมีต่อมไขมันมากกว่าผู้หญิง ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีริ้วรอยลึกและเห็นได้ชัดกว่า
- ความต้องการและเป้าหมาย ผู้หญิงส่วนใหญ่มักต้องการให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น ในขณะที่ผู้ชายอาจต้องการให้ใบหน้าดูคมเข้มและมีสง่าราศีมากขึ้น
ข้อดี-ข้อเสียของการดึงหน้า
การดึงหน้าเป็นหัตถการที่ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงได้ แต่ก็มีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจทำ
- ข้อดีของการดึงหน้า ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ช่วยเพิ่มความมั่นใจ
- ข้อเสียของการดึงหน้า การผ่าตัดใด ๆ ก็มีความเสี่ยง เช่น การติดเชื้อ เลือดออก หรือผลข้างเคียงจากยาชา ต้องใช้เวลาพักฟื้น และอาจมีรอยแผลเป็น ซึ่งการดึงหน้าเป็นการผ่าตัดใหญ่ จึงมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
ศัลยกรรมดึงหน้า ราคาเท่าไหร่
ราคาของการศัลยกรรมดึงหน้ามีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัด, สถานพยาบาลที่เลือก, และความเชี่ยวชาญของแพทย์ โดยทั่วไปแล้ว ราคาของการดึงหน้าจะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณหลักหมื่นบาทไปจนถึงหลักแสนบาท
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
เพื่อให้การผ่าตัดดึงหน้าเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด ดังนี้
6 เดือนก่อนการผ่าตัด
- งดยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ (Isotretinoin)
- งดการทำ Botox และ Filler บริเวณใบหน้า
3 เดือนก่อนการผ่าตัด
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและพร้อมสำหรับการผ่าตัด
- ตรวจสุขภาพเพื่อประเมินสภาพร่างกาย และหากมีโรคประจำตัว ควรพบแพทย์เพื่อรักษาและควบคุมอาการให้อยู่ในภาวะปกติ
- งดการทำ Laser และร้อยไหมบริเวณใบหน้า
4 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้แผลหายช้า หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน
- งดการเจาะ/สักร่างกาย หรืออาบแดด
- หลีกเลี่ยงการผ่าตัดในช่วงมีประจำเดือน
10 วันก่อนการผ่าตัด
- งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- ยาละลายลิ่มเลือด เช่น Aspirin, Coumadin, Ticlid, Plavix หรือ Aggrenox (ปรึกษาแพทย์ประจำตัวถึงความปลอดภัยในการหยุดยา)
- ยาแก้ปวดประเภท NSAIDs เช่น Ibuprofen, Advil, Motrin, Nuprin, Aleve, Relafen, Naprosyn, Diclofenac, Naproxen, Voltaren, Daypro, Feldene, Clinoril, Lodine, Indocin, Orudis เป็นต้น
- ยาระงับประสาทและยานอนหลับบางชนิด เช่น Zoloft, Lexapro, Prozac, Pristiq เป็นต้น
- งดวิตามินและอาหารเสริมทุกชนิด ที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น Multivitamins, Fish oil, Omega3, Co-enzyme Q10, Evening Primrose Oil, Glucosamine, Arnica, Ginseng, Gingko, herbs เป็นต้น
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด
การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดดึงหน้า ต้องใช้เวลาและความใส่ใจในการดูแลตนเอง เพื่อให้ผลลัพธ์ของการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
ระยะฟื้นตัว
- ช่วง 1-2 วันแรก สามารถลุกเดินได้ภายในวันแรกหลังผ่าตัด และสระผมได้ในวันที่ 2 หลังผ่าตัด แต่ควรใส่ผ้ารัดศีรษะ (Facial Band) ตลอดเวลา
- ช่วง 1 สัปดาห์แรก ควรยกศีรษะสูงขณะนอนหลับ (หนุนหมอน 2-3 ใบ) เพื่อลดอาการบวม
- ช่วง 2 สัปดาห์ ควรลางานเพื่อพักฟื้น และสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ
- ช่วง 4 สัปดาห์ ควรงดออกกำลังกาย
- ช่วง 1-3 เดือน อาการบวมช้ำอาจอยู่ได้นาน 1-3 สัปดาห์ โดยใบหน้าจะดูบวมมากในช่วง 3-5 วันแรก และแผลผ่าตัดมักจะแดงและนูนเล็กน้อยในช่วง 1-3 เดือนแรก และจะจางลงในเวลา 6-12 เดือน
- ช่วง 3-6 เดือน ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง
ข้อควรปฏิบัติ
- การดูแลแผลผ่าตัด ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- การประคบเย็น ประคบเย็นบริเวณใบหน้าในช่วง 2-3 วันแรก เพื่อลดอาการบวมและช้ำ
- การรับประทานยา รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างครบถ้วน
- การพักผ่อน พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก
- การติดตามอาการ พบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามอาการและประเมินผลการรักษา
ข้อควรหลีกเลี่ยง
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนและหลังผ่าตัด
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยตรง โดยเฉพาะบริเวณแผลผ่าตัด
- งดแต่งหน้าในช่วงแรกหลังผ่าตัด
ดึงหน้าที่ไหนดี? ทำที่ WANSIRI ดีอย่างไร

การตัดสินใจว่าจะทำศัลยกรรมดึงหน้าที่ไหนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ควรพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชื่อเสียงของสถานพยาบาล ประสบการณ์ของแพทย์ เทคโนโลยีที่ใช้ และความพึงพอใจของลูกค้าเก่า ที่ WANSIRI เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการทำศัลยกรรมดึงหน้า มาดูข้อดีของการทำศัลยกรรมดึงหน้าที่ WANSIRI ดังนี้
- ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ WANSIRI มีทีมศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการทำศัลยกรรมดึงหน้าโดยเฉพาะ
- เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทางโรงพยาบาลใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยในการผ่าตัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
- มาตรฐานความปลอดภัย WANSIRI มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง มีห้องผ่าตัดที่สะอาดและได้มาตรฐาน รวมถึงทีมวิสัญญีแพทย์ที่ดูแลอย่างใกล้ชิด
- การบริการที่ดี ทางโรงพยาบาลให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้า มีทีมงานที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลตลอดการรักษา
- รีวิวจากลูกค้า: มีรีวิวจากลูกค้าที่เคยทำศัลยกรรมดึงหน้าที่ WANSIRI ซึ่งส่วนใหญ่มีความพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้
ทีมศัลยแพทย์ของ WANSIRI

WANSIRI มีทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการยกกระชับใบหน้า ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ในการทำศัลยกรรมดึงหน้าหลากหลายเทคนิค เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและตรงความต้องการของแต่ละบุคคล นำทีมโดย
- นายแพทย์ฉัตรพงษ์ ศาสตรสาธิต: ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการยกกระชับใบหน้า อีกหนึ่งท่านที่ร่วมทีม
- นายแพทย์วิทูร วิสุทธิ์เสรีวงศ์: ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดึงหน้า และได้รับการรับรองจากแพทยสภา
ที่ WANSIRI ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นอันดับแรก โดยมีมาตรฐานการบริการที่สูง อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย และห้องผ่าตัดที่สะอาด ปลอดเชื้อ เพื่อให้ผู้ป่วยมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
รีวิวการดึงหน้า (Face Lift)
[รูปรีวิวก่อน-หลัง]
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
หลังผ่าตัดดึงหน้า มีการติดตามผลอย่างไรบ้าง?
แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาติดตามผลหลังผ่าตัดภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อตัดไหมและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติ ควรติดต่อแพทย์ทันที
ดึงหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์ของการผ่าตัดดึงหน้าจะอยู่ได้นาน 5-10 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละคน ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหน้าจะกลับมาหย่อนคล้อยตามธรรมชาติ
อาการบวมช้ำหลังดึงหน้า ปกติไหม?
อาการบวมช้ำหลังการผ่าตัดดึงหน้าเป็นเรื่องปกติ และจะค่อย ๆ หายไปได้เอง การปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด เช่น การประคบเย็น การนอนยกศีรษะสูง จะช่วยลดอาการบวมได้
เคยดึงหน้ามาแล้ว ทำซ้ำได้ไหม?
สามารถทำซ้ำได้ เนื่องจากผลลัพธ์ของการผ่าตัดดึงหน้าจะอยู่ได้ราว 5-10 ปี เพื่อให้ผลลัพธ์คงที่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์อีกครั้ง
สรุป
การดึงหน้า (Face Lift) เป็นศัลยกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของใบหน้าและลำคอ โดยมีเทคนิคหลัก 2 แบบคือ การใช้เอนโดไทน์และการส่องกล้อง เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปและมีสุขภาพแข็งแรง การผ่าตัดต้องการการเตรียมตัวที่ดีและการดูแลหลังผ่าตัดอย่างเคร่งครัด โดยที่โรงพยาบาล WANSIRI มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานความปลอดภัยสูง ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาทำศัลยกรรมดึงหน้า