ศัลยกรรมแปลงเพศชายเป็นหญิง

ศัลยกรรมแปลงเพศชายเป็นหญิง ก้าวสู่การเป็นตัวเอง ทุกสิ่งที่คุณควรรู้

ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง

การศัลยกรรมแปลงเพศชายเป็นหญิงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่หลายคนเลือกเพื่อให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์มีความก้าวหน้า ทำให้การผ่าตัดมีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการผ่าตัดตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมตัว การผ่าตัด และการดูแลหลังผ่าตัด เพื่อให้คุณมีความพร้อมก่อนตัดสินใจ และก้าวไปสู่การเป็นตัวเองอย่างมั่นใจ

ศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง คืออะไร?

ศัลยกรรมผ่าตัดแปลง เพศชายเป็นหญิง คืออะไร

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง หรือที่เรียกว่า Sex Reassignment Surgery (SRS) เป็นการปรับเปลี่ยนอวัยวะเพศชายให้มีลักษณะและสรีรวิทยาใกล้เคียงกับอวัยวะเพศหญิงมากที่สุด โดยการผ่าตัดจะครอบคลุมดังนี้

  • การสร้างช่องคลอดเทียม 
  • การปรับรูปร่างของอวัยวะเพศภายนอกให้เหมือนผู้หญิง 
  • การย้ายตำแหน่งของท่อปัสสาวะ 
  • การสร้างจุดซ่อนเร้นเทียม (Clitoris) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีความรู้สึกทางเพศที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงมักจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากที่ผู้เข้ารับการผ่าตัดได้ผ่านกระบวนการปรับตัวทางด้านอื่น ๆ เช่น การรับฮอร์โมนเพศหญิง การปรับเปลี่ยนลักษณะทางกายภาพ และการปรึกษาจิตแพทย์แล้ว

เทคนิคผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง มีกี่วิธี? 

เทคนิคแปลงเพศจากชายเป็นหญิง

การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งยังมีหลากหลายเทคนิคที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคนได้มากขึ้น ดังนี้

เทคนิคการผ่าตัดสร้างช่องคลอดด้วยการพลิกกลับผิวหนังอวัยวะเพศชาย (Penile Skin Inversion) 

เป็นวิธีมาตรฐานที่ได้รับความนิยม โดยการนำผิวหนังของอวัยวะเพศชายเดิมมาพลิกกลับเข้าไปเพื่อสร้างช่องคลอดเทียม ในบางกรณีอาจใช้หนังหุ้มอัณฑะมาต่อเติมได้ ซึ่งวิธีนี้ช่วยรักษาความรู้สึกทางประสาทที่สำคัญ เช่น คลิตอริส แคมใน และรอบท่อปัสสาวะ ทำให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับอวัยวะเพศหญิงตามธรรมชาติ และไม่ต้องผ่าตัดช่องท้อง

จุดเด่นของการผ่าตัด

  • กระบวนการผ่าตัดไม่ซับซ้อน ทำให้ผู้ป่วยพักฟื้นได้เร็วขึ้น
  • ภาวะแทรกซ้อนน้อยและลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาหลังการผ่าตัด
  • ไม่กระทบอวัยวะอื่น ไม่ต้องผ่าตัดเข้าช่องท้อง จึงลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของอวัยวะภายใน
  • ใช้ประโยชน์จากเนื้อเยื่อเดิม เพราะสามารถนำผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศเดิมมาใช้ ทำให้เกิดการปฏิเสธน้อย

ข้อควรระวังหลังการผ่าตัด

  • ต้องขยายช่องคลอด เพื่อป้องกันไม่ให้ช่องคลอดตื้นหรือตีบตัน ควรทำการขยายช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์
  • จำเป็นต้องใช้เจลหล่อลื่น ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ควรใช้เจลหล่อลื่น เพื่อลดการเสียดสีและป้องกันการระคายเคือง

เทคนิคการต่อลำไส้ (Rectosigmoid Vaginoplasty)

เป็นการสร้างช่องคลอดใหม่โดยใช้ส่วนของลำไส้ใหญ่ซิกมอยด์และส่วนบนของทวารหนัก (ประมาณ 7-8 นิ้ว) มาสร้างเป็นผนังช่องคลอด ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศไม่เพียงพอในการสร้างเยื่อบุช่องคลอด หรือผู้ที่ต้องการช่องคลอดที่มีความลึกและความสามารถในการขยายตัวได้ดี

จุดเด่นของการผ่าตัด

  • ผิวด้านในช่องคลอดที่สร้างขึ้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับเยื่อบุช่องคลอดจริง 
  • มีโอกาสน้อยที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอุดตัน
  • ไม่ต้องใช้เจลหล่อลื่น เพราะเนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นสามารถผลิตเมือกหล่อลื่นได้เองตามธรรมชาติ
  • การขยายช่องคลอดทำได้เฉพาะบริเวณปากช่องคลอด ทำให้ขั้นตอนการผ่าตัดง่ายกว่าวิธีอื่น ๆ

ข้อควรระวังหลังการผ่าตัด

  • ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะมีแผลผ่าตัดบริเวณหน้าท้อง เนื่องจากต้องทำการต่อลำไส้
  • ระยะเวลาในการพักฟื้นหลังผ่าตัดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย
  • ผู้ป่วยที่มีโรคลำไส้อาจไม่สามารถทำการผ่าตัดได้
  • อาจเกิดพังผืดในช่องท้อง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะลำไส้อุดตันได้
  • ในกรณีที่รอยต่อลำไส้รั่ว จะเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

เทคนิคสร้างช่องคลอดใหม่ด้วยเยื่อบุช่องท้อง (Peritoneum Vaginoplasty)

เทคนิค Peritoneum Vaginoplasty เป็นการนำเยื่อบุช่องท้องมาสร้างช่องคลอดใหม่โดยการยึดติดกับผิวหนังอวัยวะเพศด้านหน้า ช่วยให้ได้ช่องคลอดที่มีความยาวประมาณ 6 นิ้ว สามารถหดตัวและขยายตัวได้ตามธรรมชาติ ซึ่งเยื่อบุช่องคลอดที่สร้างขึ้นใหม่มีความเรียบลื่นและมีการหลั่งน้ำหล่อลื่นได้เอง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปริมาณผิวหนังอวัยวะเพศน้อย หรือผู้ที่เคยทำการผ่าตัดสร้างช่องคลอดด้วยวิธีอื่นมาก่อนแต่ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ

จุดเด่นของการผ่าตัด

  • ช่องคลอดที่สร้างขึ้นมีความลึกใกล้เคียงหรืออาจมากกว่าช่องคลอดธรรมชาติที่เกิดจากการม้วนกลับขององคชาต
  • มีการหลั่งน้ำหล่อลื่นจึงสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่อาจต้องใช้เจลหล่อลื่นเพิ่มเติมเล็กน้อย
  • ไม่มีรอยต่อลำไส้ ซึ่งลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหากเกิดการรั่วซึม
  • ต้องการการขยายช่องคลอดด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ช่องคลอดมีขนาดที่เหมาะสม

ข้อควรระวังหลังการผ่าตัด

  • ผู้เข้ารับการผ่าตัดอาจมีพังผืดจากการผ่าตัดช่องท้อง ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะในบริเวณใกล้เคียง
  • หากการขยายช่องคลอดไม่เป็นไปอย่างถูกต้อง อาจเกิดการตีบตันของรอยต่อเยื่อบุช่องท้อง
  • หลังการผ่าตัด อาจต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นค่อนข้างนาน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
  • ควรปรึกษาและเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น

ข้อควรรู้ก่อนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง

ข้อควรรู้ก่อนการผ่าตัดแปลงเพศ

การพิจารณาว่าใครสามารถเข้ารับการศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศได้นั้น โดยทั่วไปแล้วจะมีเกณฑ์พิจารณา ดังนี้

  • ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป แต่ในบางกรณีที่มีอายุระหว่าง 18-20 ปี จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง
  • ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องใช้ชีวิตประจำวันในฐานะผู้หญิงอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับตัวและเรียนรู้การใช้ชีวิตในเพศที่ต้องการเป็น
  • ผู้เข้ารับการผ่าตัดมักจะมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้หญิงมาโดยตลอด หรือตั้งแต่จำความได้ 
  • ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่รุนแรง หรือมีข้อห้ามในการผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีและการฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น ดังนี้

  • ผู้เข้ารับการผ่าตัดมักจะได้รับฮอร์โมนเพศหญิงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนการผ่าตัด 
  • ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะต้องได้รับการประเมินสุขภาพจิตโดยจิตแพทย์อย่างน้อย 2 ท่าน เพื่อยืนยันว่ามีความเข้าใจในกระบวนการผ่าตัดและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และมีความพร้อมทางด้านจิตใจ
  • ตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวม เช่น เอกซเรย์ปอด, ตรวจเลือด, EKG (คลื่นไฟฟ้าหัวใจ) และอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น Stress test (สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี) เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายแข็งแรงพอสำหรับการผ่าตัด
  • หยุดยาบางชนิดที่อาจทำให้เลือดออกผิดปกติ เช่น แอสไพริน และสมุนไพรบางชนิด อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
  • ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
  • จัดเตรียมสถานที่พักฟื้นที่สะดวกสบายและปลอดภัย รวมถึงเตรียมอาหารที่อ่อนนุ่มและย่อยง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด

ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง

ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิง
  1. ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะได้รับยาสลบจากวิสัญญีแพทย์ เพื่อไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการผ่าตัด
  2. แพทย์จะทำการเจาะช่องคลอดใหม่โดยใช้เนื้อเยื่อบริเวณอุ้งเชิงกราน และจะนำผิวหนังจากบริเวณอวัยวะเพศชายเดิมหรือจากถุงอัณฑะมาสร้างเป็นผนังช่องคลอด
  3. แพทย์จะสร้างแคมนอกและแคมในให้มีรูปร่างสมส่วนและสวยงามและตกแต่งเส้นประสาทรับความรู้สึกทางเพศ เพื่อสร้างคลอริทิสที่มีความรู้สึก
  4. แพทย์จะปรับปรุงท่อปัสสาวะให้มีตำแหน่งและมุมที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปัสสาวะได้ตามปกติ

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด

หลังการศัลยกรรมแปลงเพศชายเป็นหญิง จะต้องมีการดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้

  • 1-6 วันแรก: ควรนอนหงาย ยกสะโพกเล็กน้อย และแยกขาออกจากกัน เพื่อลดอาการบวม อาจต้องพักที่โรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด ควรงดอาหารที่มีกากและเครื่องดื่มที่ระบายท้อง เช่น น้ำผลไม้ นม โยเกิร์ต เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ
  • 3-7 วัน: สามารถเริ่มนอนตะแคงได้ แพทย์จะทำความสะอาดแผลและอาจถอดสายระบายเลือด ในวันที่ 7 สามารถกลับบ้านได้ตามกำหนดนัด
  • 2 สัปดาห์: ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือหรือเบตาดีน เช้า-เย็น และหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง รับประทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง
  • 1 เดือน: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักและกิจกรรมทางเพศ จนกว่าแพทย์จะอนุญาต
  • 4-6 เดือน: หากต้องการทำการตกแต่งแคมเพิ่มเติม ควรทำหลังแผลหายสนิท เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

แปลงเพศอย่างมั่นใจ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ Wansiri

โรงพยาบาลวรรณสิริ มอบประสบการณ์การแปลงเพศที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการแปลงเพศโดยตรง นำโดย นพ.ศรัณย์ วรรณจำรัส ที่พร้อมดูแลคุณอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงการฟื้นตัว ผสานเทคนิคการผ่าตัดที่หลากหลาย เช่น การต่อกราฟและการใช้เนื้อเยื่อจากช่องท้อง เพื่อสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและตรงตามความต้องการของคุณสูงสุด

เพราะเราเข้าใจว่าการแปลงเพศคือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เราจึงมุ่งมั่นที่จะมอบความมั่นใจและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคุณ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานระดับโลก โรงพยาบาลวรรณสิริทำให้ความฝันของคุณเป็นจริง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัลยกรรมแปลงเพศชายเป็นหญิง (FAQs)

คำถามที่พบบ่อยศัลยกรรมแปลงเพศชายเป็นหญิง

หลังผ่าตัดแปลงเพศ กี่วันถึงเข้าที่

หลังผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง ผู้ป่วยต้องพักฟื้นประมาณ 1 เดือน เพื่อให้แผลหายและสามารถขยับตัวได้ตามปกติ ในช่วงนี้ แพทย์จะสอนวิธีการขยายช่องคลอด ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลหลังผ่าตัด

ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงใช้เวลานานไหม

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงจะใช้เวลาประมาณ 4-7 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับวิธีการที่เลือก ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป 

ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงพักฟื้นกี่วัน

ผู้ป่วยจะต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 4 คืน หลังจากนั้นควรพักฟื้นที่บ้านต่ออีก 1 เดือน เพื่อให้แผลหายดีและร่างกายแข็งแรงก่อนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ 

สรุป

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง (SRS) เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ปรับเปลี่ยนอวัยวะเพศชายให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศหญิงมากขึ้น โดยมีเทคนิคการผ่าตัดหลากหลาย เช่น การพลิกกลับผิวหนังอวัยวะเพศชาย การใช้เนื้อเยื่อลำไส้ หรือการใช้เยื่อบุช่องท้อง ซึ่งผู้เข้ารับการผ่าตัดจำเป็นต้องผ่านการประเมินทางจิตวิทยาและได้รับฮอร์โมนทดแทนเพศหญิงเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งโดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 4-7 ชั่วโมง และต้องพักฟื้นประมาณ 1 เดือน

โรงพยาบาลวรรณสิริ คือโรงพยาบาลศัลยกรรมเฉพาะทางด้านความงามในประเทศไทยและเอเชีย ที่เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทาง ผิวพรรณและสุขภาพ เรามุ่งใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง เพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ และเป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อให้ทุกท่านได้สัมผัสความงามที่ตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง!

หากท่านใดมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Wansiri ยินดีให้คำปรึกษาฟรี! โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ สอบถามเข้ามาได้ทาง Facebook หรือ Line ได้เลย