ศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศ ทั้งชาย หญิง ก้าวสู่ชีวิตที่เป็นตัวเองอย่างมั่นใจ
การได้เป็นตัวเองคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การผ่าตัดแปลงเพศจึงไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับตัวตนที่แท้จริง ในยุคที่ความหลากหลายทางเพศได้รับการยอมรับมากขึ้น การผ่าตัดแปลงเพศก็ได้รับความสนใจมากขึ้นตามไปด้วย บทความนี้จะพามาดูเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การผ่าตัดแปลงเพศมีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดทั้งชายและหญิง จึงสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
ศัลยกรรมแปลงเพศ คืออะไร
ศัลยกรรมแปลงเพศ (Gender Affirmation Surgery) คือกระบวนการทางการแพทย์ที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนสรีระให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการผ่าตัดเพื่อปรับเปลี่ยนอวัยวะเพศและลักษณะทางกายภาพให้ตรงกับเพศที่บุคคลเป็น โดยแบ่งได้เป็นสองประเภทหลัก คือ การแปลงเพศจากชายเป็นหญิง (MTF) และการแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย (FTM)
ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัดศัลยกรรมแปลงเพศ
การผ่าตัดแปลงเพศเป็นการตัดสินใจที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อชีวิตมาก ดังนั้น ต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าตนเองเป็นผู้ที่เหมาะจะเข้ารับการผ่าตัดนี้หรือไม่
- ผู้ที่มีความรู้สึกไม่พอใจในเพศกำเนิด (Gender Dysphoria) มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้ใช้ชีวิตในเพศที่ตนต้องการจะเป็นมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี
- ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัด
- ผู้ที่ผ่านการประเมินสภาพจิตใจจากจิตแพทย์ เพื่อยืนยันว่าพร้อมสำหรับการผ่าตัดและสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลังการผ่าตัดได้
- ผู้ที่เข้าใจถึงขั้นตอนการผ่าตัด ผลข้างเคียง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- ผู้ที่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีจะต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
- การผ่าตัดแปลงเพศไม่ใช่เรื่องที่ควรรีบร้อนตัดสินใจ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลงเพศเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ และเตรียมตัวให้พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศไม่เหมาะกับใครบ้าง
โดยทั่วไปแล้ว การผ่าตัดแปลงเพศจะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรง เช่น ผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ควรปรึกษาจิตแพทย์ก่อนตัดสินใจ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เพราะอาจเป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัดและการฟื้นตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน หรือโรคติดเชื้อ
- ผู้ที่มีอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ เพราะโดยทั่วไป ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรมีอายุ 20 ปีขึ้นไป แต่สำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี อาจต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
- ผู้ที่ยังไม่เข้าใจถึงขั้นตอนการผ่าตัด ผลข้างเคียง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ อาจไม่พร้อมที่จะตัดสินใจ
เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง
การแปลงเพศจากชายเป็นหญิง (MTF) เพื่อปรับเปลี่ยนอวัยวะเพศให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับผู้หญิงมากที่สุด โดยเน้นทั้งรูปลักษณ์ภายนอก เช่น แคมนอก แคมใน รูเปิดท่อปัสสาวะ และความรู้สึกภายใน เช่น การสร้างคลิตอริส รวมถึงการทำงานของอวัยวะเพศที่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศหลากหลายวิธีที่พัฒนาขึ้น เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ดังนี้
เทคนิค Penile Skin Inversion with/without Scrotal Skin Graft
เป็นวิธีการสร้างช่องคลอดโดยนำผิวหนังขององคชาตเดิมมาหุ้มกลับเข้าไป และอาจเพิ่มเติมผิวหนังหุ้มอัณฑะเพื่อให้ได้ช่องคลอดที่มีขนาดเพียงพอ วิธีนี้มีข้อดีคือเป็นการนำเนื้อเยื่อเดิมของผู้ป่วยมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการนำเนื้อเยื่อส่วนอื่นมาใช้ แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องขยายช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการตีบตัน และควรใช้เจลหล่อลื่นขณะมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
เทคนิค Rectosigmoid Vaginoplasty
เป็นการผ่าตัดเพื่อสร้างช่องคลอดเทียม โดยนำส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่มาดัดแปลงเป็นผนังช่องคลอด โดยทั่วไปจะใช้ลำไส้ส่วนซิกมอยด์ (Sigmoid colon) และทวารหนักส่วนบน (Upper rectum) ยาวประมาณ 7-8 นิ้ว ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศไม่เพียงพอที่ไม่สามารถนำเนื้อเยื่อเดิมมาสร้างช่องคลอดได้ หรือเคยผ่าตัดแปลงเพศแล้วและประสบปัญหาช่องคลอดตีบตัน รวมถึงผู้ที่ต้องการช่องคลอดที่ลึกและมีความจุมากขึ้น
การใช้ลำไส้ใหญ่ในการสร้างช่องคลอด ทำให้ได้ช่องคลอดที่มีความยืดหยุ่นสูงและมีการหลั่งน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติ ช่วยให้ช่องคลอดมีลักษณะใกล้เคียงกับช่องคลอดจริงมากที่สุด แต่เทคนิคนี้ก็มีความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น การรั่วของลำไส้ การติดเชื้อ และการเกิดพังผืด เป็นต้น
เทคนิค Peritoneum Vaginoplasty
เป็นวิธีการสร้างช่องคลอดใหม่โดยนำเยื่อบุช่องท้องมาบุผิวด้านในของช่องคลอดที่สร้างขึ้นจากผิวหนังอวัยวะเพศ เหมาะสำหรับผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดแปลงเพศมาแล้ว และต้องการขยายช่องคลอดให้ลึกขึ้น หรือสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างช่องคลอดใหม่โดยไม่ต้องใช้เนื้อเยื่อจากลำไส้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหากมีการรั่วซึม วิธีนี้มีความลึกใกล้เคียงกับการสร้างช่องคลอดด้วยวิธีอื่น ๆ และอาจมีการหลั่งน้ำหล่อลื่นได้เองในระดับหนึ่ง ทำให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แม้ว่าอาจต้องอาศัยเจลหล่อลื่นช่วยในการร่วมเพศก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การสร้างช่องคลอดด้วยวิธีนี้ยังคงต้องอาศัยการขยายช่องคลอดด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ช่องคลอดมีขนาดที่เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการผ่าตัดอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการสร้างพังผืด หรือการตีบตันของรอยต่อเยื่อบุช่องท้องได้ ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมในการทำการผ่าตัด และเตรียมตัวรับมือกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย
การผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชายต้องปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งจะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลและความต้องการ ดังนี้
- ผ่าตัดหน้าอก (Mastectomy) เป็นการตัดเนื้อหน้าอกออกให้แบนราบ ปรับขนาดและตำแหน่งของหัวนมและปานนมให้เหมือนผู้ชาย มีหลายวิธี เช่น แผลรูปตัว U, O หรือการย้ายหัวนม เลือกตามขนาดและสภาพของหน้าอก
- ผ่าตัดมดลูกและรังไข่ (Hysterectomy and Oophorectomy) เป็นการผ่าตัดเพื่อหยุดประจำเดือนและฮอร์โมนเพศหญิงถาวร มีหลายวิธี เช่น ผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว ก่อนผ่าตัดต้องปรึกษาจิตแพทย์ และหลังผ่าตัดต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์
- ผ่าตัดปิดช่องคลอด (Removal of the Vagina – Vaginectomy) โดยการปิดช่องคลอด จะเปลี่ยนระบบปัสสาวะให้เหมือนเพศชาย และหยุดการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงอย่างถาวร ซึ่งผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด และใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 3-6 เดือน
เทคนิค Metoidioplasty
การผ่าตัดเปลี่ยนเพศแบบเมตตอยด์ จะนำผิวหนังบริเวณรอบคลิตอริสมาขยายและปรับรูปให้คล้ายกับอวัยวะเพศชาย และต่อท่อปัสสาวะเพื่อให้สามารถปัสสาวะได้ตามปกติ นอกจากนี้ ยังมีการปิดช่องคลอดและใส่ลูกอัณฑะเทียมเพื่อให้รูปลักษณ์ภายนอกสมจริงยิ่งขึ้น
ข้อดีของการผ่าตัดคือช่วยเพิ่มความมั่นใจ ฟื้นตัวเร็ว และค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก แต่ข้อควรระวังคืออวัยวะเพศที่สร้างขึ้นใหม่จะมีขนาดค่อนข้างเล็ก ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ อีกทั้งก่อนการผ่าตัดต้องรับประทานฮอร์โมนเพศชายเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของคลิตอริส
เทคนิค Phalloplasty
การผ่าตัดเปลี่ยนเพศแบบฟาโรห์ เป็นเทคนิคการผ่าตัดที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะสามารถสร้างอวัยวะเพศชายให้มีรูปลักษณ์และการทำงานใกล้เคียงกับผู้ชายได้มากที่สุด โดยการนำเนื้อเยื่อจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ต้นขา แขน มาสร้างเป็นอวัยวะเพศชายและต่อท่อปัสสาวะให้สามารถปัสสาวะได้ตามปกติ นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อเส้นประสาทเพื่อให้มีความรู้สึกทางเพศได้อีกด้วย
ข้อดีของการผ่าตัดนี้คือได้อวัยวะเพศชายที่มีขนาดและรูปทรงที่สวยงาม สามารถร่วมเพศได้ และมีแผลผ่าตัดขนาดเล็ก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความซับซ้อนของการผ่าตัดและระยะเวลาในการพักฟื้นที่ค่อนข้างนาน
ศัลยกรรมแปลงเพศ มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
- ข้อดี ลดความเครียด และเพิ่มความมั่นใจในตนเอง เช่น การแต่งตัว ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต หรือแม้แต่การสร้างความสัมพันธ์กันผู้คนใหม่ ๆ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
- ข้อเสีย มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ เลือดออก หรือแผลหายช้า เป็นต้น
ศัลยกรรมแปลงเพศอันตรายไหม
การผ่าตัดแปลงเพศไม่ใช่เรื่องอันตราย หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน แต่ก็มีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ต้องพิจารณาเช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
การผ่าตัดเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่อาจมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงตามมาได้ เช่น การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด เลือดออกมากเกินไป การเกิดพังผืด หรืออาจมีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ในผู้ที่ใช้เทคนิคการต่อลำไส้ในการสร้างช่องคลอด ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหลังการผ่าตัดยังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ทำให้เกิดภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้าได้
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดแปลงเพศ
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดแปลงเพศเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความรอบคอบ โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ที่ควรปฏิบัติตามอย่างละเอียด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นช่วงเวลาต่าง ๆ ได้ดังนี้
- เตรียมตัว 12 เดือน ในการบำบัดด้วยฮอร์โมน เพื่อให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง
- 6 เดือนถึง 1 ปี ต้องประเมินสุขภาพจิตว่ามีภาวะความไม่สอดคล้องทางเพศ (Gender Dysphoria) และไม่มีโรคทางจิตอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจ
- 14 วันก่อนผ่าตัด ให้หยุดรับประทานวิตามินซีและอี ฮอร์โมน แอสไพริน และยาที่มีผลต่อเลือด รวมถึงหยุดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- 1 เดือนก่อนผ่าตัด ตรวจสุขภาพทั่วไป รวมถึงตรวจเลือดและตรวจร่างกายเพื่อประเมินความพร้อมสำหรับการผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดแปลงเพศ
- 1-6 วันหลังการผ่าตัด ควรนอนหงาย ยกสะโพกให้สูง และแยกขาทั้งสองข้างออกจากกันเล็กน้อยเพื่อลดอาการบวม ซึ่งผู้ป่วยจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์สามารถดูแลและตรวจสอบอาการได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ งดรับประทานอาหารที่มีกากและเครื่องดื่มที่กระตุ้นการขับถ่าย เช่น น้ำผลไม้ นม และโยเกิร์ต เพื่อป้องกันไม่ให้แผลปนเปื้อน
- 3-7 วันหลังการผ่าตัด สามารถเริ่มนอนตะแคงได้ แพทย์จะทำการถอดสายระบายเลือดและเปิดแผลเพื่อทำความสะอาด ในวันที่ 7 ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้และควรเข้ารับการตัดไหมตามนัดหมาย
- 2 สัปดาห์หลังการผ่าตัด ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือหรือเบตาดีน เช้าและเย็น รวมถึงทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ รวมถึงรับประทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- 1 เดือนหลังการผ่าตัด หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักและการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 1 เดือนแรกหรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
- 4-6 เดือนหลังการผ่าตัด หากต้องการทำการตกแต่งแคม ควรทำหลังจากแผลหายสนิท เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ผ่าตัดแปลงเพศที่โรงพยาบาลไหนดี
- มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: เลือกโรงพยาบาลที่มีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดแปลงเพศ โดยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูง
- สิ่งอำนวยความสะดวก: โรงพยาบาลควรมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ห้องผ่าตัดที่สะอาด และห้องพักที่สะดวกสบาย
- การดูแลก่อนและหลังการผ่าตัด: โรงพยาบาลควรมีทีมงานที่พร้อมดูแลคุณอย่างใกล้ชิด ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด รวมถึงมีนักจิตวิทยาคอยให้คำปรึกษา
- ความปลอดภัย: ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการของโรงพยาบาล และมาตรฐานความปลอดภัยต่าง ๆ (สามารถตรวจสอบได้ที่: https://hosp.hss.moph.go.th)
ผ่าตัดแปลงเพศให้ปลอดภัย กับศัลยแพทย์ที่ Wansiri
โรงพยาบาลวรรณสิริ พร้อมดูแลทุกขั้นตอนการแปลงเพศของคุณ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ผสานเทคโนโลยีทันสมัยและมาตรฐานระดับโลก เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม เป็นธรรมชาติ ตอบโจทย์ความต้องการของคุณอย่างแท้จริง มอบความมั่นใจให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ
ทีมแพทย์ศัลยกรรมแปลงเพศโรงพยาบาล Wansiri
โรงพยาบาลวรรณสิริ ภูมิใจนำเสนอทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการแปลงเพศชั้นนำ นำทีมโดย “นพ.ศรัณย์ วรรณจำรัส” ผู้มีประสบการณ์สูงด้านการแปลงเพศและศัลยกรรมเสริมความงาม พร้อมมอบผลลัพธ์ที่สวยงามเป็นธรรมชาติหลังการผ่าตัด ด้วยเทคนิคเฉพาะที่หลากหลาย อาทิ การต่อกราฟและการใช้เนื้อเยื่อจากช่องท้อง เพื่อสร้างช่องคลอดใหม่ที่สมบูรณ์แบบ ตอบสนองความต้องการของผู้เข้ารับบริการทุกคนอย่างตรงจุด
การดูแลและบริการ
โรงพยาบาลให้บริการดูแลผู้ป่วยอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตรวจสุขภาพทางเพศก่อนการผ่าตัด ไปจนถึงการให้คำปรึกษาและติดตามผลหลังการผ่าตัด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมทั้งมีบริการปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจก่อนเข้ารับการผ่าตัด
มาตรฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
โรงพยาบาลวรรณสิริให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของผู้ป่วย ด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด โดยทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ศัลยกรรมแปลงเพศที่โรงพยาบาลวรรณสิริ
ศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศราคาเท่าไร
ราคาในการผ่าตัดแปลงเพศนั้นค่อนข้างแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ประเภทของการผ่าตัด: การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง (MTF) และจากหญิงเป็นชาย (FTM) มีขั้นตอนและความซับซ้อนที่แตกต่างกัน จึงมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันด้วย
- โรงพยาบาล: แต่ละโรงพยาบาลจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับมาตรฐานของโรงพยาบาล เทคโนโลยีที่ใช้ และความเชี่ยวชาญของแพทย์
- ความซับซ้อนของการผ่าตัด: หากมีการผ่าตัดเพิ่มเติม เช่น การปรับรูปหน้า หรือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
วิดีโอรีวิวจากผู้ใช้บริการศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศ
คำถามที่พบบ่อย
อายุเท่าไหร่ถึงศัลยกรรมแปลงเพศได้
ผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป หากมีอายุระหว่าง 18-20 ปี จะต้องมีเอกสารยินยอมจากผู้ปกครอง
ผ่าตัดแปลงเพศใช้เวลาพักฟื้น
หลังจากผ่าตัดหน้าอกหรือมดลูกและรังไข่ออก จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติภายในประมาณ 2 สัปดาห์ แต่แผลจะสมานหายเป็นปกติภายใน 3-6 เดือน
ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว มีความรู้สึกทางเพศได้ไหม
ผู้ที่กังวลว่าหลังแปลงเพศแล้วจะไม่มีความรู้สึกทางเพศ สามารถสบายใจได้ เพราะแพทย์จะเก็บรักษาเส้นประสาทที่สำคัญไว้ เพื่อสร้างความรู้สึกเหมือนผู้หญิงทั่วไป
สรุป
การผ่าตัดแปลงเพศเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง การเลือกปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเข้าใจถึงขั้นตอนการผ่าตัด รวมถึงผลที่ตามมาอย่างรอบด้าน